ปัญหา ฝุ่น PM2.5 กระทบองค์กรคุณมากกว่าที่คิด! เจาะลึกปัญหาและค้นพบวิธีรับมือที่ได้ผลจริง

ฝุ่น

 ปัญหา ฝุ่น กับ ภาวะอากาศแปรปรวน แถบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะในเขตภาคกลางตอนล่างและในเขตเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานคร เพราะในช่วงเดือน ธันวาคม – เมษายนของทุกปี ประเทศไทยจะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศนิ่งและมีความชื้นต่ำ ส่งผลให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กสะสมตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศและไม่ถูกพัดพาออกไปง่าย ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ  

 โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ฝุ่นไม่ได้ส่งผลเพียงต่อบุคคล แต่ยังอาจลดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน สร้างความเสียหายต่อต้นไม้ภายในสวน ไปจนถึงสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กรอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงผลกระทบ สาเหตุ และวิธีการจัดการฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ 

ผลกระทบของ ฝุ่น ที่องค์กรไม่ควรมองข้าม 

  ฝุ่นไม่ได้กระทบแค่คน แต่ยังสร้างความเสียหายต่อ อุปกรณ์สำนักงาน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า การสะสมของฝุ่นในเครื่องปรับอากาศทำให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จากข้อมูลของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (EPA) เครื่องปรับอากาศที่มีฝุ่นอุดตันสามารถเพิ่มการใช้พลังงานได้ถึง 15% นอกจากนี้ฝุ่นที่เกาะบนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ หรือเซิร์ฟเวอร์ ยังสามารถทำให้อุปกรณ์เกิดความร้อนสูงเกินไป และเสี่ยงต่อการชำรุด ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ที่สูงขึ้น 

 ยิ่งไปกว่านั้น หากองค์กรไม่สามารถควบคุมปริมาณฝุ่นในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลต่อ ภาพลักษณ์ขององค์กร โดยเฉพาะในสายตาของลูกค้าและคู่ค้า การมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะอาด สวยงาม ปลอดฝุ่น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้มาติดต่อธุรกิจ 

ผลกระทบที่มีต่อภาพลักษณ์ขององค์กร 

  องค์กรที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานไม่สะอาดหรือมีฝุ่นมากอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ในสายตาของลูกค้าและคู่ค้า เช่น 

  • ลูกค้าที่มาเยี่ยมชม อาจมองว่าองค์กรขาดการดูแลและจัดการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 
  • พนักงานอาจขาดความเชื่อมั่นในองค์กร หากรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของพวกเขา 

ผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน 

  ฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้พนักงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะดวกสบาย ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เช่น 

  • สมาธิลดลง การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมากอาจทำให้พนักงานเสียสมาธิและทำงานได้ช้าลง 
  • ประสิทธิภาพการผลิตลดลง เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน ผลผลิตขององค์กรก็จะลดลงตามไปด้วย 

ผลกระทบด้านค่าใช้จ่าย 

  การปล่อยให้ฝุ่นสะสมในองค์กรโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น 

  • ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล หากพนักงานเจ็บป่วยบ่อยครั้ง องค์กรอาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น 
  • ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ การทำความสะอาดและซ่อมบำรุงเครื่องใช้สำนักงานที่เสียหายจากฝุ่น เช่น เครื่องปรับอากาศและคอมพิวเตอร์ 
  • ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อุปกรณ์ที่มีฝุ่นสะสม เช่น เครื่องปรับอากาศ ต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทำงาน ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น 

   ดังนั้น การละเลยปัญหาฝุ่น PM2.5 ในองค์กรไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงาน แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มต้นทุนในการดูแลรักษาอุปกรณ์สำนักงาน รวมถึงสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาว 

สาเหตุหลักที่ทำให้ ฝุ่น สะสมในพื้นที่องค์กร 

 ฝุ่นละอองในพื้นที่องค์กรสะสมตัวขึ้นจากหลากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในอาคาร โดยปัจจัยภายนอกที่สำคัญ ได้แก่ การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น อาคารสำนักงาน โครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้า ซึ่งก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กฟุ้งกระจายตลอดทั้งวัน ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (Pollution Control Department: PCD) ระบุว่า การก่อสร้างในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 มากถึง 20% ของฝุ่นทั้งหมด ในอากาศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่มีลมช่วยพัดพาฝุ่นออกไป 

 อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญคือ การจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ฝุ่นที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของยานพาหนะจะลอยเข้าสู่พื้นที่อาคารผ่านช่องระบายอากาศหรือประตูที่เปิดปิดบ่อยครั้ง จากการศึกษาของ ศูนย์วิจัยพลังงานสะอาด (Clean Energy Research Center) พบว่า ฝุ่นที่เกิดจากการจราจรในเมืองใหญ่มีอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานถึง 6-12 ชั่วโมง และสามารถเล็ดลอดเข้าสู่อาคารได้ง่ายหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม 

  นอกจากนี้ การขาดพื้นที่สีเขียว รอบองค์กรก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ เพราะต้นไม้และพืชพรรณสามารถทำหน้าที่กรองฝุ่นในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลจาก องค์กรอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า พื้นที่สีเขียวที่มีความหนาแน่นของต้นไม้สูงสามารถลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้มากถึง 15-20% ดังนั้น องค์กรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีต้นไม้และพืชพรรณน้อย ย่อมมีโอกาสที่ฝุ่นจะสะสมในอากาศสูงกว่า 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด 

   บริษัทหนึ่งในเขตเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า พบว่าปริมาณฝุ่นสะสมภายในอาคารสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีการก่อสร้าง หากไม่มีการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูงและปิดช่องทางที่ฝุ่นสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ จะทำให้พนักงานต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศปนเปื้อนตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้พนักงานลาป่วยบ่อยขึ้นถึง 15% จากเดิม และองค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการบำรุงรักษาระบบปรับอากาศและทำความสะอาดอุปกรณ์สำนักงานที่มีฝุ่นเกาะหนา 

การตระหนักถึงสาเหตุเหล่านี้และจัดการปัญหาอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร 

แนวทางรับมือปัญหา ฝุ่น อย่างมีประสิทธิภาพ 

องค์กรสามารถรับมือกับปัญหาฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยมาตรการหลายวิธี ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปริมาณฝุ่นแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี ส่งเสริมสุขภาพของพนักงานและรักษาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรได้อีกด้วย วิธีการสำคัญที่แนะนำดังนี้  

  1. การจัดสรรพื้นที่สีเขียว

  การจัดสรรพื้นที่สีเขียวเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ เนื่องจากต้นไม้และพืชพรรณสามารถช่วยดักจับฝุ่นละออง ฟอกอากาศ และเพิ่มความชื้นในอากาศได้ นอกจากนี้ พื้นที่สีเขียวยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ร่มรื่นและน่าอยู่ให้กับพื้นที่ทำงานอีกด้วย โดยแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ได้แก่ 

การปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่รอบอาคาร เช่น ต้นไทรเกาหลี ต้นประดู่ ต้นจามจุรี ต้นกันเกรา ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีใบหนาแน่นสามารถทำหน้าที่เป็นกำแพงกันฝุ่นและลดปริมาณฝุ่นที่ลอยในอากาศได้ดี  

การจัดทำสวนหย่อมภายในองค์กร การจัดทำสวนหย่อมในพื้นที่ว่าง เช่น บริเวณลานจอดรถ ทางเดิน หรือพื้นที่รอบอาคาร จะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดฝุ่นละอองในอากาศได้ ต้นไม้ที่ปลูกในสวนหย่อมควรเลือกชนิดที่ทนต่อสภาพอากาศ และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เช่น ต้นโมก ต้นชาฮกเกี้ยน ต้นสนประดิพัทธ์ หญ้านวลน้อย และ การเพิ่มแหล่งน้ำเล็ก ๆ เช่น บ่อน้ำพุหรือสระน้ำในสวนหย่อม จะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศและลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองได้อีกทางหนึ่ง 

การปลูกต้นไม้ในพื้นที่ภายในอาคาร (Indoor Plants) ต้นไม้ภายในอาคารไม่เพียงช่วยฟอกอากาศ แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับพนักงาน ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับปลูกในอาคารควรเป็นต้นไม้ที่สามารถดูดซับฝุ่นละอองและสารพิษได้ดี เช่น ลิ้นมังกร เศรษฐีเรือนใน พลูด่าง เฟิร์นบอสตัน 

การปลูกแนวต้นไม้กรองฝุ่นตามแนวรั้ว (Green Buffer Zone) การปลูกแนวต้นไม้ตามแนวรั้วขององค์กรหรือบริเวณที่ติดกับถนนใหญ่ ช่วยป้องกันฝุ่นที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะจากการจราจรที่หนาแน่น ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับปลูกเป็นแนวกันฝุ่นควรเป็นต้นไม้ที่มีใบแน่นและลำต้นแข็งแรง เช่น ต้นเข็มแดง ต้นสนแผง ต้นคริสติน่า 

   การจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในองค์กรเป็นวิธีการรับมือกับปัญหาฝุ่นที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้รอบอาคาร การสร้างสวนแนวตั้ง หรือการจัดทำสวนหย่อม ล้วนช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความร่มรื่น สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในระยะยาว  

  1. การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในพื้นที่ทำงาน

  เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97% ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ภายในอาคาร นอกจากนี้ เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นยังมาพร้อมเทคโนโลยีฟอกอากาศด้วยไอออนลบ ซึ่งช่วยลดสารก่อภูมิแพ้และเชื้อโรคในอากาศได้ 

  1. การดูแลและบำรุงรักษาระบบระบายอากาศ

   ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการลดการสะสมของฝุ่นในอาคาร การทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศและช่องระบายอากาศอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ระบบสามารถดักจับฝุ่นละอองได้ดียิ่งขึ้น ลดการหมุนเวียนฝุ่นภายในอาคาร 

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานภูมิทัศน์ เพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่สีเขียว และลดต้นทุนในระยะยาว  

  การบริหารงานภูมิทัศน์ในองค์กรไม่ได้หมายถึงแค่การปลูกต้นไม้หรือดูแลสวนให้ดูสวยงามเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการออกแบบพื้นที่สีเขียวให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมขององค์กร รวมถึงการเลือกใช้พันธุ์ไม้ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการกรองฝุ่น ลดมลพิษ และความง่ายต่อการดูแลรักษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร โดยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์จะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

  1. การมีผู้เชี่ยวชาญประเมินหน้างาน

  ก่อนการดำเนินการออกแบบพื้นที่สีเขียว ผู้เชี่ยวชาญจะทำการ ประเมินหน้างาน เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น ทิศทางลม ทิศทางแสงแดด และระดับความชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกพันธุ์ไม้และการจัดวางพื้นที่ ตัวอย่างเช่น หากองค์กรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ปลูกต้นไม้ที่ทนแดด เช่น ต้นประดู่ หรือ ต้นหูกวาง เพื่อสร้างร่มเงา และลดอุณหภูมิในบริเวณโดยรอบ 

  1. วางแผนการทำงานตามความเหมาะสม

  หลังจากการประเมินหน้างานแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจะทำการ วางแผนการทำงาน ที่เหมาะสมกับพื้นที่ขององค์กร โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเลือกปลูกไม้ยืนต้นเพื่อสร้างร่มเงาในระยะยาว หรือไม้พุ่มเตี้ยสำหรับกรองฝุ่นละอองและเพิ่มความสวยงาม นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึง การจัดการพื้นที่น้ำขัง หรือการสร้างทางเดินที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ใช้งานอื่น ๆ ในองค์กร เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งานจริง 

  1. การเลือกพันธุ์ไม้ที่ช่วยกรองอากาศ และง่ายต่อการดูแล

  การเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพันธุ์ไม้ที่ดีไม่เพียงช่วยสร้างความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการกรองอากาศและลดมลพิษ ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำพันธุ์ไม้ที่สามารถกรองฝุ่นละอองได้ดี เช่น 

  • ต้นเฟิร์นบอสตัน: มีคุณสมบัติเด่นในการกรองฝุ่นและเพิ่มความชื้นในอากาศ 
  • ต้นลิ้นมังกร: ช่วยฟอกอากาศและดูแลรักษาง่าย 
  • ต้นเข็ม: ปลูกเป็นแนวรั้วเพื่อกันฝุ่นจากภายนอก 

   การเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมยังช่วยลดภาระในการดูแลรักษา และลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาในระยะยาวอีกด้วย 

  1. วางแผนการดูแลตามฤดูกาลเพื่อลดค่าใช้จ่าย

  หนึ่งในวิธีการลดต้นทุนขององค์กรคือการ วางแผนการดูแลพื้นที่สีเขียวตามฤดูกาล เช่น ในช่วงฤดูฝนอาจเน้นการตัดแต่งกิ่งไม้และกำจัดวัชพืชที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนในฤดูแล้งเน้นการรดน้ำและใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้นไม้ให้ทนต่อสภาพอากาศร้อนแห้ง นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดรอบการบำรุงรักษา เช่น การเปลี่ยนดินหรือการใส่ปุ๋ย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาเกินความจำเป็น 

  1. การออกแบบพื้นที่สีเขียวให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กร

  ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์สามารถช่วยออกแบบพื้นที่สีเขียวให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์และเอกลักษณ์ขององค์กร เช่น การเลือกปลูกต้นไม้ที่มีความหมายดี เช่น ต้นไทร ที่สื่อถึงความมั่นคง หรือ ต้นราชพฤกษ์ ที่สื่อถึงความรุ่งเรือง นอกจากนี้ การออกแบบพื้นที่ให้มีทางเดินหรือมุมพักผ่อนที่สวยงามยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยงานวิจัยจาก Harvard Business Review ระบุว่า การมีพื้นที่สีเขียวที่สวยงามในองค์กรช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานได้ถึง 15-20% และช่วยลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

SO บริการดูแลสวน ครบวงจร 

   ภายใต้ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ผู้นำด้านธุรกิจ Outsourcing ของไทยที่ยกระดับการให้บริการในทุกมิติติ สู่การเข้าไปร่วมคิด ออกแบบ วางแผน และ กำหนดกลยุทธ์องค์กร หรือ Strategic Partner ให้กับลูกค้า ด้วยประสบการณ์ในการบริหารงานด้านภูมิทัศน์กว่า 40 ปี พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยจาก ทั่วโลก เข้ามาพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้เรายังมี benefit อื่นๆที่พร้อมให้คุณได้มากว่าอาทิเช่น       

  • มีทีมรุกขกรและที่ปรึกษาด้านพฤษาศาสตร์ระดับประเทศ   
  • มีการอบรมพัฒนาทักษะและความปลอดภัยในการทำงานก่อนเริ่มงาน    
  • มีทีม QC จากส่วนกลางเข้าตรวจคุณภาพทุกเดือน   
  • มีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสต์ LAB ในการวิเคาระห์และตรวจสอบดินและปุ่ย  
  • ผ่านมาตรฐาน ด้านการบริหารจัดการ ISO9001 และ มาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14001-2005 และเป็นบริษัท Outsource รายแรกที่ได้ ISO ด้านการลดกระบวนการในการทำงาน หรือ LEAN ISO18404 

สนใจบริการติดต่อ คุณจุ๋ม ที่เบอร์ 090-197-8513
หรือ @LINE : SO GREEN
กรอกแบบฟอร์ม ขอใบเสนอราคา คลิก

สรุป
ฝุ่น กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กรในหลายด้าน ทั้งสุขภาพของพนักงาน ประสิทธิภาพในการทำงาน ต้นทุนการบำรุงรักษาอุปกรณ์สำนักงาน และภาพลักษณ์ขององค์กร การละเลยปัญหาฝุ่นไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ และยังเป็นปัจจัยที่ลดความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาลูกค้าและคู่ค้า การจัดการกับปัญหาฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารภูมิทัศน์เพื่อออกแบบพื้นที่สีเขียวที่ตอบโจทย์การใช้งานและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ซึ่งจะช่วยลดปัญหาฝุ่นในระยะยาว พร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจให้พนักงาน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร

บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน)

329 ม.10 กุศลส่งสามัคคี ซ.1 ถ.รถรางสายเก่า สำโรง อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ 10130     
โทร : 02-363-9300