“พื้นที่สีเขียว” หรือ Green Space สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจในยุคปัจจุบัน ที่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน นำพาไปสู่แนวคิด ESG โดยองค์กรต่างๆ มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญของมิติสิ่งแวดล้อม คือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว วันนี้ SO GREEN บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) มาตรฐาน ISO ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะพาทุกท่านไปรู้จักกับความสำคัญของ ESGก้าวสำคัญสู่พื้นที่สีเขียว ร่วมสร้างโลกที่ดีกว่า อนาคตที่ยั่งยืน กับ บริษัทดูแลสวน SO GREEN ที่เป็นมากกว่าแค่ ดูแลสวน
ESG คืออะไร? ประวัติ และความเป็นมา
แนวคิด ESG เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงปี 1960 เมื่อนักลงทุนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
- ปี 1960 Rachel Carson ตีพิมพ์หนังสือ Silent Spring กระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงอันตรายของยาฆ่าแมลง
- ปี 1970 Milton Friedman เสนอว่า บทบาทหลักของธุรกิจคือการสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
- ปี 1980 นักลงทุนเริ่มกดดันให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
- ปี 1990 สหประชาชาติริเริ่ม Global Compact ส่งเสริมให้ธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
- ปี 2004 Kofi Annan อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ริเริ่มโครงการ UN PRI (Principles for Responsible Investment) สนับสนุนหลักปฏิบัติสำหรับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ
- ปัจจุบัน ESG กลายเป็นมาตรฐานสากลในการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, and Governance
เป็นแนวคิดในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึง 3 ด้านหลัก ดังนี้
E – Environment (สิ่งแวดล้อม) หมายถึง การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการลดมลพิษ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
S – Social (สังคม) หมายถึง การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน สนับสนุนชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงาน และสร้างความเท่าเทียม
G – Governance (การกำกับดูแล) หมายถึง การมีระบบการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส ตรวจสอบได้ เน้นความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย และป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่น
ESG สำคัญอย่างไร ทำไมต้องดำเนินธุรกิจตามแนวคิดนี้?
ในปัจจุบัน เป็นแนวคิดที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาลงทุน เนื่องจากธุรกิจที่มี ESG ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพของการเติบโตในระยะยาว ทำให้การลงทุนในบริษัท ESG ช่วยให้นักลงทุนมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นการสนับสนุนธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ และขยายตลาด บริษัทที่ไม่มีแนวคิด ESG อาจกลายเป็นบริษัทที่ไม่ได้รับการยอมรับและเสียโอกาสจากนักลงทุน อีกทั้งการส่งออกระหว่างประเทศอีกด้วย
SDGs และ ESG สองแนวคิดสู่ “พื้นที่สีเขียว” ที่ขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน
SDGs ย่อมาจาก Sustainable Development Goals เป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการ ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 2015 มุ่งหวังให้ทุกประเทศร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 เป้าหมายเหล่านี้ครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น การขจัดความยากจน การต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมสันติภาพ
เป้าหมายเหล่านี้มุ่งหวังให้ทุกประเทศร่วมมือกันเพื่อ
- ขจัดความยากจน
- ต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำ
- ปกป้องสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมสันติภาพ และ
- พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ความเกี่ยวข้องระหว่าง SDGs กับ ESG
SDGs และ ESG มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เพราะทั้งสองมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดย
- SDGs เป็นเป้าหมายระดับโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน
- ESG เป็นแนวทางที่องค์กรต่างๆ นำไปปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs
การเชื่อมโยง ESG กับ SO Green ในการสร้างความยั่งยืน
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ความสำคัญของESG (Environmental, Social, and Governance) กลายเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่นักลงทุนและบริษัทต่างๆ แต่ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการบริการอย่าง SO Green ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการที่ยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมผ่านการให้บริการของตน
Environmental (สิ่งแวดล้อม)
SO Green มุ่งเน้นให้บริการด้านการจัดการ พื้นที่สีเขียว และการดูแลภูมิทัศน์อย่างมืออาชีพ ซึ่งรวมถึงการตัดแต่งต้นไม้, การดูแลสวน, และการบำรุงรักษาพื้นที่เปิด บริการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศและลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ แต่ยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและความสุขสำหรับทุกคนในชุมชน
Social (สังคม)
การดูแล พื้นที่สีเขียว และการบริการของ SO Green มีส่วนช่วยในการสร้างพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับชุมชน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามและความสบายตา แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกายสำหรับผู้คนในชุมชนนั้นๆ
Governance (การกำกับดูแลกิจการ)
SO Green ดำเนินการภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล การบริหารจัดการที่ดีช่วยให้แน่ใจว่าทุกๆ การตัดสินใจและการดำเนินการเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม
ยกระดับธุรกิจ ให้ SO Green ดูแล พื้นที่สีเขียว
การใช้บริการของ SO Green สามารถส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายๆ ด้าน เช่น
- การเพิ่มภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ: ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนมักจะได้รับการมองเห็นในแง่บวกจากลูกค้าและสังคม ซึ่งสามารถนำไปสู่ความน่าเชื่อถือและความจงรักภักดีจากลูกค้า
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสำหรับพนักงานและลูกค้า: พื้นที่ทำงานและพื้นที่สาธารณะที่มีพื้นที่สีเขียวที่ดูแลอย่างดีสามารถช่วยเพิ่มความพึงพอใจและสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานและลูกค้า
- การลดความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม: การบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างมืออาชีพสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำฝน, การควบคุมอุณหภูมิ, และการลดมลพิษในบรรยากาศ
- การดึงดูดและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า: ลูกค้ามักจะรู้สึกดึงดูดและภักดีต่อธุรกิจที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้บริการของ SO Green สามารถเป็นหนึ่งในวิธีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของธุรกิจต่อความยั่งยืน
SO GREEN ให้บริการดูแลสวนอย่างครบวงจรตั้งแต่การวางแผนการจัดสรรพื้นที่ การออกแบบทิวทัศน์และภูมิทัศน์ ไปจนถึงการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เราใช้วิธีการที่สร้างสรรค์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่สีเขียวของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยไม่ลืมใส่ใจต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
ข้อดีของการเพิ่ม พื้นที่สีเขียว
การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นแนวทางหนึ่งที่ทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
- ช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียง
- ช่วยให้เกิดความร่มรื่น สวยงาม
- ช่วยให้ระบบนิเวศสมดุล
- ช่วยให้ผู้คนมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ
- ช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
การใส่ใจ พื้นที่สีเขียว การลงทุนที่คุ้มค่า!
การสร้างพื้นที่สีเขียวในบริษัท เปรียบเสมือนการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะนอกจากจะส่งเสริมสุขภาพกายและใจของพนักงานแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ดึงดูดผู้สมัครงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท
ตัวอย่างบริษัทที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้ ขับเคลื่อนธุรกิจ
ตัวอย่างบริษัทในไทย เช่น
1. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
- ดำเนินธุรกิจค้าปลีกแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น”
- มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด “3 ดี” ได้แก่ ดีต่อสังคม ดีต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อเศรษฐกิจ
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น รางวัล Thailand Sustainability Excellence Awards 2023 และ รางวัล SET Sustainability Award 2023
2. ปูนซิเมนต์ไทย (SCG)
- มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อม
- มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น รางวัล Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) 2023 และ รางวัล FTSE4Good Index Series 2023
3. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
- ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี
- มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีจริยธรรม
- สนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชน
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น รางวัล Corporate Governance Award 2023 และ รางวัล Best Investor Relations Awards 2023
ตัวอย่างบริษัทต่างประเทศ เช่น
1. Unilever
- มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ที่มีความหมายต่อผู้บริโภค
- มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนด้วยแนวคิด “The Unilever Compass”
- ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 50% ภายในปี 2030
- ยอดขายแบรนด์ยั่งยืนเติบโต 46%
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น รางวัล The Sustainability Awards 2023 และ รางวัล Corporate Knights Global 100 Most Sustainable Corporations in the World 2023
2. Adidas
- มุ่งเน้นการผลิตสินค้าอย่างยั่งยืน
- ตั้งเป้าหมายใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 100% ภายในปี 2024
- ยอดขายรองเท้า Stan Smith ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล 1 ล้านคู่
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น รางวัล Gold Class จาก S&P Global Sustainability Awards 2022 รางวัล Outstanding Sustainability Performance จาก ISS ESG2022 และรางวัล Top 100 Most Sustainable Corporations in the World จาก Corporate Knights 2023
3. Toyota Motor Corporation
- มุ่งเน้นพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
- สนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียน
- ได้รับรางวัลด้านESG หลายรางวัล เช่น Sustainability Awards 2023 และ Top 100 Global Innovators 2023
สรุป
การทำความเข้าใจและการนำ ESG ไปใช้ในการดำเนินการของธุรกิจไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจนั้นๆ ดำเนินการได้อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสำเร็จและความมั่นคงในระยะยาว การเลือกใช้บริการของ SO Green จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในด้านการเงินและการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา
ให้ SO GREEN ดูแลพื้นที่สีเขียวให้กับคุณ และปรับปรุงพื้นที่สีเขียวของคุณให้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความยั่งยืน ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดการพื้นที่เขียวและการดูแลสวนที่ครอบคลุม ครบวงจร
กำลังมองหา บริษัทดูแลสวน ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ ดูแล พื้นที่สีเขียว แบบมืออาชีพอยู่หรือเปล่า ?
เราคือ SO GREEN ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่สีเขียวและภูมิทัศน์ เรามีทั้งบริการตัดแต่งไม้ใหญ่ตามแบบฉบับรุกขกรรม บริการดูแลสวน และภูมิทัศน์ รวมถึงบริการจัดสวนตามแบบด้วยระบบ 3D ด้วยประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ทำให้เรามีความชำนาญอย่างมากที่จะส่งมอบพื้นที่สีเขียวให้มีคุณภาพให้กับคุณ ติดต่อเรานะครับ เพื่อให้สวนของคุณกลับมาสวยอีกครั้ง
พื้นที่ให้บริการ : กรุงเทพมหานคร , สมุทรปราการ , ชลบุรี , ระยอง , นนทบุรี , ปทุมธานี , นครนายก , ฉะเชิงเทรา , สระบุรี , พระนครศรีอยุธยา , นครปฐม , สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม
SO GREEN ให้บริการ Landscape Maintenance บริการดูแลสวน โดยคนสวน 10 คนขึ้นไป
ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถ ด้านงานดูแลสวนมากกว่า 1,000 คน การันตีคุณภาพด้วยประสบการณ์มากกว่า 40 ปี
และมาตรฐานการให้บริการระดับสากล วางใจให้เราดูแลสวน ให้สวยน่ามองเพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรของคุณ
ใส่ใจให้บริการดูแลดุจดังบ้านของเราเอง
บริการรับดูแลสวนและตัดแต่งไม้ใหญ่จาก SO GREEN บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) มาตรฐาน ISO ใส่ใจสิ่งแวดล้อม