ไขทุกข้อสงสัยในการ ตกแต่งสวน โครงการมิกซ์ยูส ส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ

การตกแต่งสวนใน โครงการมิกซ์ยูส ต้องคำนึงถึงปัจจัยและต้นทุนอะไรบ้าง?  

1. ลักษณะฟังก์ชันของพื้นที่ พื้นที่ต้องใช้สาธารณะ, พื้นที่ส่วนพักอาศัย, พื้นที่ค้าปลีก ฯลฯ ต้องการดีไซน์และใช้พันธ์ไม้ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น พื้นที่กลางแจ้งต้องใช้พืชทนแดด ทนเท้าเหยียบ และ สื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ 
2. Brand Positioning ของโครงการ โครงการระดับพรีเมียมอาจต้องใช้พันธุ์ไม้เฉพาะ หรือ ดีไซน์สวนแนวอันเป็นเอกลักษณ์  ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่องค์กรอยากจะสื่อสาร เช่น Modern Luxury, Eco Urban, Wellness Living  
3. เงื่อนไขของสถานที่ ทิศทางแสง/ลม, ระบบระบายน้ำ, พื้นที่ลาดเอียง หรืออยู่บนโครงสร้างอาคารเช่น ดาดฟ้า ทางเชื่อมลอยฟ้า ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลต่อ งบประงานและต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งการเลือกพันธ์พืช วัสดุ รวมไปถึง ระบบน้ำและระบบไฟ  
4. การใช้ประโยชน์ของผู้ใช้งานจริง (User Behavior) หากเป็น จุดที่คนเดินผ่านเยอะ จุดถ่ายรูป จุดพักผ่อน จุดที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุใช้งาน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ทั้งวัสดุพื้น ชนิดของต้นไม้ และการดูแลพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ 
5. ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และ ESG บางโครงการต้องส่งรายงาน Carbon Footprint, Green Building, ซึ่งมีการกำหนดให้ใช้พืชพื้นถิ่น ต้องมีระบบน้ำหมุนเวียน หรือ การลดใช้สารเคมี ซึ่งการเลือก บริการ รับดูแลสวน จากบริษัท Outsource  จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลในส่วนนี้ได้ง่ายขึ้น  
6. การบำรุงรักษาหลังการตกแต่ง (Maintenance Friendly Design) พื้นที่ในโครงการขนาดใหญ่ล้วนมีการออกแบบงานภูมิทัศน์ที่แตกต่างกัน การมีแผนงานการดูแล และ ตกแต่งที่เป็นระบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้ เช่น เลือกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ต้องไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ทนต่อฤดูกาล จะช่วยเสริมให้พื้นที่สวนสวยงามอยู่เสมอ  

   การตกแต่งสวนใน โครงการ Mixed-Use ไม่ใช่เพียงการจัดวางต้นไม้ให้ดูสวยงาม แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และการบริหารต้นทุนระยะยาว โดยเฉพาะในโครงการที่ผสมผสานหลายฟังก์ชัน เช่น ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า สำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในพื้นที่เดียวกัน 

สวนในโครงการจะยังคงสวยได้อย่างไรหลังผ่านปีแรก? ปัญหาซ้ำซ้อนที่เกิดจากการขาดการดูแลมีอะไรบ้าง ? 

  แม้จะมีการออกแบบภูมิทัศน์ที่ดี เลือกพันธุ์ไม้ที่สวยงามเหมาะสมกับพื้นที่ และ ธุรกิจ แต่หากขาดระบบการดูแลที่เหมาะสมต่อเนื่อง สวนใน โครงการมิกซ์ยูส ก็มักเข้าสู่วงจรการซ่อมแซมไม่รู้จบ และ ซ้ำซาก เช่น ต้นไม้ใบเหลือง รากดันพื้น ภาพรวมของสวนดูโทรม ไม่สวยงามเหมือนช่วงแรก และ ส่งผลเสียต่อความประทับใจของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโครงการที่มีผู้ใช้งานหมุนเวียนจำนวนมาก ความเสื่อมโทรมของงานภูมิทัศน์จะยิ่งเห็นชัด และ รวดเร็วกว่า  

SO GREEN บริษัท รับดูแลสวน และปรับภูมิทัศน์ ผู้ให้บริการ Landscape Maintenance ภายใต้แนวคิด “ การดูแลเชิงป้องกัน ” ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ พร้อมออกแบบแผนการทำงานเพื่อธุรกิจโดยเฉพาะ ด้วยมาตรฐานการทำงานระดับสากล ได้แก่  

• วิเคราะห์ปัจจัยสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ (microclimate analysis) โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักพฤษศาสตร์ รุกขกรมืออาชีพ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์ เพื่อกำหนดจุดเสี่ยง ที่ต้องแก้ไขรวมไปถึงออกแบบการทำงานเฉพาะส่วนอย่างเหมาะสม 

• คัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมต่อพื้นที่และภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงฟังก์ชันในพื้นที่ต่างๆ ระยะเวลาการดูแล ให้สอดคล้องกับจำนวนคนงาน และความต้องการของธุรกิจ เช่น ต้นไม้ยืนต้นทรงสูงที่ให้ร่มเงาในส่วนพื้นที่พักผ่อน ไม้พุ่มและไม้กระถางในโซนอาคารรับรอง  

• วางแผนการดูแลรายเดือน ทั้งการตัดแต่ง รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ควบคุมและป้องกันศัตรูพืช รวมไปถึง ระบบน้ำ เพื่อควบคุมคุณภาพ และ ลดความเสียหาย จากการเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดเช่น อุบัติเหตุ โรคระบาด เพลิงไม้ และ การโค่นล้ม   

• จัดทีมตรวจสอบคุณภาพ พร้อมเข้าตรวจสอบคุณภาพงานทุก 15 วัน และมีการประเมินผลเชิงประสิทธิภาพเป็นรายไตรมาส เพื่อพัฒนาการทำงานอย่างต่อเนื่อง  

• ส่งรายงาน Real-time ผ่านระบบดิจิทัล รายงานปัญหาพร้อมแผนการแก้ไขแบบรายวัน พร้อมสรุปรายเดือน และ Visual Report สำหรับผู้บริหาร 

 ลดความเสี่ยงของต้นไม้ตาย ป้องกันค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และรักษาภาพลักษณ์ของพื้นที่ได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง พร้อมเสริมความมั่นใจว่า “สวนในโครงการจะไม่กลายเป็นภาระ” แต่เป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง 

การควบคุมต้นทุนของ งานภูมิทัศน์ ใน โครงการมิกซ์ยูส ทำอย่างไร 

ในเชิงการบริหาร ผู้บริหารโครงการมักมองการดูแลสวนว่าเป็น “งบฟุ่มเฟือย” ที่สามารถลดได้ แต่ในความเป็นจริง ต้นทุนของการดูแลสวนที่ไม่มีระบบ และ แผนงานที่ชัดเจนส่งผลให้ “งบประมาณบานปลาย” มากกว่า  เช่น ค่าซ่อมระบบรดน้ำ ค่ารื้อพื้นเพื่อจัดการระบบรากของต้นไม้ใหญ่ หรือ ค่าเปลี่ยนต้นไม้ใหม่ซ้ำ ๆ รวมไปถึงค่าปรับและค่าชดเชยกรณีเกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้บริการในพื้นที่ 

    SO GREEN จึงมีแนวทางการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการทำ Site Audit เพื่อประเมินความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของสวน เช่น ตำแหน่งรากไม้ใกล้ท่อระบายน้ำ ระบบรดน้ำที่ไม่สมดุล หรือพืชที่มีอัตราการตายสูง พร้อมจัดทำงบประมาณดูแลระยะยาว (Landscape Maintenance Budget Plan) พร้อมแผนการทำงานในพื้นที่ต่างๆอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ควบคุมงานสามารถติดตามและประเมินผลได้แบบรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังมีการให้คำปรึกษาในการปรับปรุงภูมิทัศน์หรือปรับปรุงจุดเสี่ยงเดิมให้สวยงามและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น การเลือกพืชที่ทนโรคมากยิ่งขึ้น การวางโครงสร้างระบายน้ำให้สอดคล้องกับสภาพหน้าดิน และ ปรับพื้นผิวให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางเข้าตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่องทุกเดือน 

แนวทางนี้ช่วยให้ทีมบริหารโครงการ สามารถควบคุมงบประมาณได้แบบ Proactive ไม่ใช่แค่รอปัญหาเกิดแล้วแก้ และ สามารถใช้ข้อมูลในการวางแผนงบประมาณระยะยาวสำหรับทั้งการดูแลและการขยายพื้นที่สีเขียวในอนาคตได้อีกด้วย